วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

<<<ประกาศจากคณะตลก>>> ด่วนที่สุด
เนื่องจากได้เวลาอันสมควรแก่เหตุและผล ทางเรา
ได้จัดให้มีการแข่งขัน ภายในกิลของเรา แบ่งเป็น 2 โหมด
1. Speed Mode
2. Item Mode

โดย Speed Mode แบ่งสนามแข่งออกเป็นดังนี้
1. Zig Zag
2. Trick Track
3. Mt.SpeedShift
4. Combat Station
5. Tunnel

ทางเราได้แบ่งออกเป็น 2 ห้อง
1. ห้องเกรียนน้อย
1. Little Pea (แต่เกรียนมาก)
2. คอร์ด 500 (ไม่เคยเกรียน)
3. 6ตัวตลก9 (หัวหน้ากิลสุดเทพ) ก่อนแข่งบองเมพขิง ๆ
4. 9ตัวตลก6 (ตัวเต็งตึ่ง)
2. ห้องเกรี๊ยนเกรียน
1. อ๋อยเอ๋อ (เกรียนเพอ)
2. กระบะไฮโซ (สุดหล่อประจำกิล)
3. มิสะโกะ (สนบร๊า กรี๊ด)
4. Little Tai (ง้องแง๊ง)
5. ค่าเทอม (เกรียนเพอ)
6. Zalip (ชบาแก้ว)
7. MooGlof (?)

ห้อง Item Mode แบ่งสนามออกเป็น All Random 5 สนาม
1. อ๋อยเอ๋อ (เกรียนเพอ)
2. กระบะไฮโซ (สุดหล่อประจำกิล)
3. มิสะโกะ (สนบร๊า กรี๊ด)
4. Little Tai (ง้องแง๊ง)
5. ค่าเทอม (เกรียนเพอ)
6. Zalip (ชบาแก้ว)
7. MooGlof (?)
8. Little Pea (แต่เกรียนมาก)
9. คอร์ด 500 (ไม่เคยเกรียน)
10. 6ตัวตลก9 (หัวหน้ากิลสุดเทพ) ก่อนแข่งบองเมพขิง ๆ
11. 9ตัวตลก6 (ตัวเต็งตึ่ง)
ของรางวัล Item ปาโป่ง ตลอดชีพ (รอหัวหน้ากิลไปปาโป่งก่อน)

ปล.การนับคะแนนจะนับจากคนเข้าที่1จะได้10คะแนนและคะแนนของคนต่อไปจะลดลงตามเวลาที่เข้า
เช่นคนที่เข้า 2.10ได้10คะแนน คนที่เข้า 2.14. ก็เท่ากับว่าได้6คะแนน
ร่างประกาศโดย คอร์ด500
ประกาศโดย Little Pae

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Social Network คืออะไร



Social Network คือ การที่ผู้คนสามารถทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่าเป็น เว็บ Social Network ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่นเอง ตัวอย่างของเว็บประเภทที่เป็น Social Network เช่น Digg.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เรียกได้ว่าเป็น Social Bookmark ที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง และเหมาะมาก ที่จะนำมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยในเว็บไซต์ Digg นี้ ผู้คนจะช่วยกันแนะนำ url ที่น่าสนใจเข้ามาในเว็บ และผู้อ่านก็จะมาช่วยกันให้คะแนน url หรือข่าวนั้น ๆ เป็นต้น



สำหรับตัวอย่าง Social Network อื่น ๆ เช่น Hi5 หรือว่า Facebook ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น social network เต็มรูปแบบอีกอย่างหนึ่ง ที่ให้ผู้คนได้มามีพื้นที่ ได้ทำความรู้จักกันโดยเลือกได้ว่า ต้องการทำความรู้จักกับใคร หรือเป็นเพื่อนกับใคร

เมื่อหันมามองเว็บไซต์ไทย ๆ กันดูบ้าง หากมองว่าเว็บไซต์ Social Network ในไทย จะมีเว็บไหนได้บ้าง ลองดูเว็บไซต์ Social Network ที่มีความชัดเจนในเนื้อหาเฉพาะด้าน เช่น Social Network เรื่องท่องเที่ยว อย่างเว็บไซต์ odoza (โอโดซ่า) ที่ให้คนที่ชื่นชอบในเรื่องท่องเที่ยว ได้มาทำความรู้จักกัน ได้มีพื้นที่ให้ share รูปภาพ หรือวีดีโอคลิป ที่ตนเองได้ไปเที่ยวมาได้

ภาพประกอบโดย
mandymaarten

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

มารยาทในที่ทำงาน


ควรทำตัวอย่างไรในการแนะนำตัว

คุณควรรอให้อนุญาตให้นั่งเสียก่อนแล้วจึงนั่งลง หากได้รับคำถามว่าดื่มชา กาแฟมั้ยก็ควรตอบรับเพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น ที่สำคัญคืออย่าไปสาย ควรตรงต่อเวลาและให้เวลากับการแนะนำตัวเองอย่างไม่จำกัดเวลาแม้ว่าคุณอาจพลาดกับรถเที่ยวต่อไปก็ตาม เพราะหากคุณบอกว่า "ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ" นั่นอาจหมายถึงว่าคุณต้องลาจากชั่วนิรันดร์


พนักงานใหม่ควรวางตัวอย่างไร

หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีกับผู้ร่วมงานในที่ทำงานใหม่ก็อย่าเพิ่งกังวล คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทันที แรกๆ คุณควรศึกษากฎระเบียบเสียก่อนและสังเกตุขนบธรรมเนียมและมารยาทในที่ทำงานใหม่เพราะคุณอาจทำงานได้ดีมากแต่อาจทำผิดสังคมในที่ทำงานได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเลี้ยงฉลองอะไรในวันแรก แต่ให้ผ่านช่วงทดลองงานไปก่อน


ทำอย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงาน

คุณจัดการกับโต๊ะทำงานของตัวเองได้ แต่ไม่ควรยุ่งกับโต๊ะทำงานของคนอื่น และไม่ควรเอาของใช้ เช่น กระเป๋าหรือสิ่งของไปวางในพื้นที่ทำงานแม้ว่าคุณอยากจะโชว์ให้เพื่อนร่วมงานเห็นก็ตาม นอกจากนี้ความเครียดจะเกิดขึ้นถ้าคุณเอาตัวไปเบียดใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานเพราะมนุษย์ส่วนมากมักมีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน กฎในออฟฟิศอีกอย่างก็คือ เมื่อคุณจะไอหรือจามก็ควรออกนอกห้อง


หลีกหนีเพื่อนร่วมงานจอมเมาท์อย่างไรดี

ขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แล้วเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนในห้องคุณและคอยจับผิด ให้คุณถามว่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ หรือบอกว่า เดี๋ยวคุณจะตามไป หรือบอกไปว่าคุณกำลังสะสางงานอย่างเร่งด่วนอยู่ หากคุณเห็นว่าไม่เหมาะที่จะทำตัวสนิทสนมด้วยก็ให้รักษาระยะห่างไว้


จำเป็นต้องไปสรวลเสเฮฮาหลังเลิกงานด้วยมั้ย

หากเพื่อนร่วมงานชวนคุณไปดื่มหรือเข้าร้านอาหารหลังเลิกงาน แต่คุณไปไม่ได้ก็ควรกล่าวคำขอโทษ เช่น "ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่บังเอิญติดธุระ" และหากคุณไปด้วยก็ควรอยู่ด้วยอย่างน้อยที่สุด 15 นาที


ทำอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาคนอื่น

คุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดีของผู้ร่วมงานคนหนึ่งอยู่โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้นคุณจึงควรกล่าวคำขอโทษและบอกว่า คุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของคุณด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผยและซื่อสัตย์


เจอเพื่อนร่วมงานกลางทาง

ให้คุณเดินไปหาและทักทาย หากคุณไม่แน่ใจว่าเพื่อนร่วมงานอยากจะทักคุณหรือไม่ ก็ให้คุณพยายามสบตาด้วย หากเธอมองไปทางอื่นก็แสดงว่าเธอไม่อยากทักทายคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ใกล้ประตูรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ก็ให้หยุดรอตอนขาลงและทักทายเธอ คุณก็จะได้เพื่อนร่วมทาง หรือหากคุณไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็ต้องขึ้นรถเช้ากว่านี้เพื่อไม่ต้องเจอกัน

ในลิฟต์ บางคนกลัวการอยู่ในที่แคบ เช่น ในลิฟต์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการอยู่ในที่แคบและเจอผู้ร่วมงานในลิฟต์ก็ควรทักทายแล้วจะหันหน้าไปทางประตูลิฟต์ก็ไม่มีใครว่าและควรถามคนอื่นด้วยว่าอยู่ชั้นไหนแล้วกดลิฟต์ให้ด้วย


ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือเข้าที่ประชุม

เพราะมันมักรบกวนห้องประชุม หากคุณจำเป็นต้องรอโทรศัพท์สำคัญก็ให้บอกกับทางโน้นว่าในช่วงเวลานี้ คุณติดประชุมไม่อาจรับโทรศัพท์ได้ หรือระหว่างพักการประชุมก็โทรศัพท์ไปหาได้ หากคุณตั้งสัญญาณสั่นสะเทือนไว้ ก็ให้ออกไปพูดนอกห้องประชุม


การโต้ตอบอีเมล

ควรตรวจเช็กและตอบอีเมลวันละอย่างน้อยที่สุด 2 รอบ ตอนเช้า กลางวันและที่ดีที่สุดคือตอนเย็น หากคุณไม่สามารถตอบได้ทันที ก็ให้ส่งข้อความสั้นๆ ว่าคุณไม่อยู่ 2-3 วัน และบอกด้วยว่าคุณจะอยู่ในออฟฟิศอีกครั้งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ก็ควรเขียนอีเมลอย่างระมัดระว้ง ถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด และบันทึกไว้อย่างมีระเบียบเพื่อที่คุณจะได้หาได้ง่ายเมื่อต้องการค้นหา ไม่ควรใช้คำย่อ มีคำขึ้นต้นและลงท้ายอย่างมีมารยาท



มารยาทในห้องเรียน


มารยาทในห้องเรียนซึ่งมีวิธีปฏิบัติง่ายๆและหลายๆคนก็พอจะรู้จักและปฏิบัติได้ดังนี้

1. ต้องตั้งใจเรียน เป็นการแย่มากๆหากว่าเราจับกลุ่มคุยแข่งกับอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าชั้นเรียนหรือสนใจในการอ่านหนังสือการ์ตูนมากกว่าบทเรียนในชั่วโมงทุกคนลองคิดดูว่าอาจารย์ผู้สอนเพียงคนเดียวไม่สามารถตะเบ็งเสียงแข่งได้

2. ไม่รบกวนสมาธิของผู้อื่น ถึงแม้เราจะเบื่อในวิชานั้นๆก็ไม่ควรไปชวนเพื่อนคุยหรือรบกวนใดๆก็แล้วแต่ถ้าเราไม่เข้าใจหรือสงสัยอะไรให้ยกมือถามอย่าไปถามเพื่อนขณะเรียนเพราะเพื่อนอาจเรียนไม่รู้เรื่องเพราะเรา

3. เชื่อฟังคำตักเตือนของอาจารย์ บางครั้งที่เราทำผิดหรือเราอาจจะดื้อรั้นกับอาจารย์ที่สอนอยู่ อาจารย์อาจจะต่อว่า ตักเตือนหรือตีก็ไม่ควรทำอวดดีหรือโต้เถียงใดๆทั้งสิ้น

4. แสดงนำใจต่อเพื่อนๆ บางครั้งเพื่อนของเรามาเรียนไม่ทันหรือขาดเรียนไปเราควรอธิบายวิชาที่เราพอจะสามารถอธิบายใหเพื่อนเราฟังได้ หรือเพื่อนขาดอุปกรณ์การเรียน ถ้าเรามีก็ควรจะแบ่งปัน เพราะในการเรียนเราต้องพึ่งพาอาศัยกันเมื่อทำกิจกรรมต่างๆอยู่แล้ว

5. มีความรับผิดชอบ นอกจากการเรียนในวิชาต่างๆแล้วยังต้องมีแบบฝึกหัดให้เราทดลองและเราจะต้องมีความรับผิดชอบโดยการทำส่งให้ครบตามกำหนดเวลา เพื่อไม่ให้มีนิสัยที่ไม่ดีติดตัว

ประวัติของ Web Blog


blog ก็คือ การนำเสนอความคิดเห็นส่วนตัวของเจ้าของ blog ผ่านสื่อคอมพิวเตอร์ครับ โดยการนำเสนอจะไปตามเวลา และคนทั่วไปสามารถร่วมลงความเห็นได้ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้การจะมี web เป็นของตัวเองนั้นค่อนข้างยากครับ เพราะว่า เรามักจะต้องมีความรู้ในการเขียน html, Java, และ Javascript และภาษาอื่น ๆ ในระดับที่มากพอควร จึงจะสามารถนำเสนอความคิดตนเองขึ้น web ได้ เมื่อเกิด blog ขึ้นทำให้ผู้คนทั่วไปที่มีความรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ระดับไม่สูงนัก สามารถเข้ามามีพื้นที่แสดงความเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้นครับ


ในปี 1996-1997 Jorn Barger (1953, Ohio) เป็นนักเขียนชาวอเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าของ web ชื่อ Robot Wisdom นั้นเป็นคนแรกที่ได้เครดิตว่าเป็นคนเริ่มใช้ คำว่า "weblog" เป็นคนแรก ๆ ครับ เดิมนั้น ความหมายเค้ามาจากการรวมคำว่า "logging the web" ตามตัวอักษรเลย ชื่อนี้เริ่มใช้ในปี 1997 และได้รับความนิยมไปทั่วครับ ต่อมา Peter Merholz ได้แปลงเป็น "we blog" แทน และใช้คำว่า "blog" แทนในปี 1999 ต่อมาก็ได้รับความนิยมจนกระทั่งกลายเป็นคำบัญญัติใหม่สำหรับ English Dictionary ทั่วไป โดย Oxford English Dictionaryได้บันทึกความหมายไว้ในปี 2003 นี่เองครับบางคนอาจจะรู้สึกว่า ไม่เห็น (มัน) จะต่างกับ diary online ตรงไหน จริง ๆ แล้ว ก็คล้าย ๆ กันครับ แต่ว่า blog นั้นจะมีเนื้อหาที่นำมาใช้ได้กว้างกว่า และไม่มีข้อกำหนดด้านเวลามากเท่า Diary


ปัจจุบัน คนนิยมใช้ blog มากครับ โดยทั่วไปก็เป็นไปเพื่อแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ออกแนวไม่วิชาการมากนัก และสามารถแสดงความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างดี สามารถใส่อะไรลงไปก็ได้เลยล่ะครับ นอกจากนี้ยังมีการใช้งานที่ไม่ยากนักไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์มากเท่าไหร่นัก blog แรก ๆ ที่ให้บริการ free blog ก็ได้แก่ blogger เป็นต้นครับ แต่ลักษณะของผู้ให้บริการ free weblog เหล่านี้ก็ไม่ได้มีลักษณะเหมือนกันนะครับ ขึ้นกับการกำหนดหน้าตาของฝ่ายออกแบบของผู้ให้บริการครับ

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการเรียนเก่ง


ข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัว
ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติ จึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลยแหล่ะ

สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ

ข้อที 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น
การใช้สมุดnote ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุดnote ที่ไม่มีเส้นนั้นจะทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปดูนะ

ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic.
ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำการ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่า
การบันทึกงานในรูปแบบของ Mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ Mind Map เป็นรูปก็ได้

ข้อที่ 4 : Mp3
เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่าง หากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ

ข้อที่ 5 : เอาใจครู
เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเอง เวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้น เพราะ เราอยากเรียนวิชานั้น ๆ

ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกา
ก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง คุณหนูดี กับ ด็อกเตอร์ ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา

ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง
นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเราและสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว

ที่มา :
www.dek-d.com